I Love My Blog

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560

กลุ่มดาวจักรราศี

กลุ่มดาวจักรราศี





กลุ่มดาวจักรราศี หมายถึง กลุ่มดาวฤกษ์จำนวน 12 กลุ่ม ที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ออกไป ซึ่งเมื่อมองจากโลกจะเห็นกลุ่มดาวเหล่านี้ ปรากฏแตกต่างกันไปตามช่วงระยะเวลาของเดือน ซึ่งมนุษย์ในสมัยโบราณก็จินตนาการรูปร่างของกลุ่มดาวเป็นสิ่งต่างๆ และมีการค้นพบ รูปของกลุ่มดาวจักรราศีวาดอยู่บนโลงศพของมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณด้วย ต่อมามนุษย์ได้แบ่งกลุ่มดาวฤกษ์ที่อยู่ตามแนวทางเดินของดวงอาทิตย์ ที่เรียกว่า เส้นสุริยะวิถี ออกเป็น 12 กลุ่ม จริงๆแล้ว กลุ่มดาวดังกล่าวไม่ได้อยู่บนแนวสุริยวิถีพอดี แต่จะอยู่ในช่วงแถบกว้างประมาณ 18 อาศา ผ่านแนวสุริยวิถี โดยมี 12 กลุ่มดาว แต่ละกลุ่มดาวห่างกัน ประมาณ 30 องศาเมื่อประมาณ 1000 ปีก่อนคริสตศักราช กลุ่มดาวกลุ่มแรก ที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่าน จุดที่สุริยะวิถี เคลื่อนที่ตัดกับเส้นศูนย์สูตรฟ้าพอดี

กลุ่มดาวแกะ (Aries or Ram)


กลุ่มดาวแกะ(ราศีเมษ) 


ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
        กลุ่มดาวแกะประกอบด้วยดาวสว่าง 4 ดวง แอลฟา-แอริแอทิส หรือ แอลฟา-แกะ , เบตา-แกะ , แกมมา-แกะ และ 41-แกะดวงดาวดวงแรกประกอบกันขึ้นเป็นหัวแกะ และดวงสุดท้ายอยู่บริเวณตะโพกแกะ ระยะห่างเชิงมุม จาก แกมมา-แกะ ถึง 41-แกะ กว้างประมาณ 15 องศา กลุ่มดาวแกะจึงเป็นกลุ่มดาวบริเวณแคบ ๆ ประมาณกว่า 2,000 ปีมาแล้ว เมื่อดวงอาทิตย์เข้าสู่กลุ่มดาวแกะ จะตรงกับตอนเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิของซีก โลกเหนือ จุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิจึงมีชื่อเรียกว่า จุดแรกของกลุ่มดาวแกะ (First point of Aries) ปัจจุบันจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิได้เลื่อนมาอยู่ในกลุ่มดาวปลา (จุดที่ดวงอาทิตย์อยู่ในวันที่ 21 มีนาคม) กลุ่มดาวแกะจะขึ้นขนานกับเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้า โดยอยู่ห่างเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้าไปทางเหนือ 22.5 องศา ดังนั้นกลุ่มดาวแกะจึงขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือ 22.5 องศา เมื่อขึ้นไปสูงสุดจะอยู่ทางเหนือของจุดเหนือ ศีรษะเล็กน้อย และตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือ 22.5 องศารวมเวลาอยู่บนฟ้านานวันละประมาณ 12 ชั่วโมง เมื่อจะดูกลุ่มดาวแกะต้องดูฟ้าด้านเหนือ โดยการหันหน้าไปยังทิศเหนือ แขนขวาเหยียดตรงไปยังจุดทิศตะวันออก แขนซ้าย เหยียดตรงไปยังทิศตะวันตก ตำแหน่งที่กลุ่มดาวแกะขึ้นจะอยู่ห่างจากจุดทิศตะวันออกไปทางเหนือ รูปแกะเอาหัวขึ้นก่อน เมื่ออยู่สูงแกะ จะหันหัวไปทางทิศตะวันตก หลังจากหันไปทางทิศเหนือ ท้องหันไปทางทิศใต้ อยู่ในลักษณะหงายท้อง และตำแหน่งที่กลุ่มดาวแกะตกลับ ขอบฟ้าจะอยู่ห่างจุดทิศตะวันตกไปทางเหนือ ขณะลับขอบฟ้าจะเอาห้วลงก่อน ช่วงเวลาที่อยู่บนฟ้าของกลุ่มดาวแกะทั้งกลุ่มประมาณ 11 ชั่วโมงครึ่ง

เวลาที่เห็น ในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม จะมองไม่เห็นกลุ่มดาวแกะ ส่วนในเดือนอื่น ๆ จะเห็นยาวนานไม่เท่ากัน

นิทานดวงดาว 
         เจ้าชายพริซัส (Phrixus) และเจ้าหญิงเฮเล่ (Helle) บุตรฝาแฝดของพระราชาอาธามัส (Athamus)และเนเพเล่ (Nephele:เป็นนิมส์เมฆ เป็นภูตประเภทหนึ่ง แต่บางก็ว่าเป็นเทพีที่ซีอุสสร้างขึ้นเลียนแบบเทพีเฮร่า) แต่ต่อมาอาธามัสก็ทิ้งนางไปแต่งงานกับนางไอโน่ (Ino) ซึ่งนางไอโน่นั้นเมื่อคลอดลูกของตัวเองออกมา ก็รู้สึกไม่ชอบใจลูกเลี้ยงทั้งสองของตนเองจึงคิดวางแผนฆ่า โดยให้พวกผู้หญิงที่มีหน้าที่เป็นคนหว่านเมล็ดพันธุ์พืชเอาเมล็ดไปล่นไฟ ทำให้เมล็ดไม่สามารถเพาะปลูกได้ เกิดเป็นภัยแล้งขึ้นราชาอาธามัสจึงไปปรึกษากับนักบวช(ซึ่งแน่นอนนางไอโน่ซื้อตัวไปแล้ว) และนักบวชก็แนะนำว่า จะต้องสังเวยบุตรฝาแฝดทั้งสองต่อเหล่าเทพแล้วการเพาะปลูกจะอุดมสมบูรณ์เช่นเดิม ราชาอาธามัสได้ฟังเช่นนั้นก็ให้ทุกคนจัดแจงเตรียมงานสังเวยขึ้นทันที แต่ทว่าเนเพเล่เมื่อรู้เรื่องเข้าก็ไปร้องขอต่อซีอุสให้ช่วยเทพซีอุสจึงส่งแกะที่มีขนเป็นทองคำมาให้แก่เนเพเล่ ให้ลูกทั้งสองขึ้นหลังแกะแล้วหนีไป ทว่าระหว่างทางที่หนีอยู่นั้น แกะบินสูงเกินไป เจ้าหญิงเฮเล่เกิดหน้ามืดตกลงจากหลังแกะไปในทะเล และเสียชีวิตลง ส่วนเจ้าชายพริซัสนั้นมาถึงเมืองคอลคิส (Colchis)โดยปลอดภัย และพระราชาอาเอเตส (Aeëtes) ก็ไห้การต้อนรับเป็นอย่างดี แต่พริซัสกลับทำสิ่งที่น่าตกใจคือฆ่าแกะที่ช่วยพาตัวเองหนีมาทิ้ง แล้วยกขนทองคำให้พระราชาอาเอเตส แล้วราชาก็ทรงเอาขนแกะไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ในป่า และให้มังกรที่ไม่หลับไม่นอนเฝ้าเอาไว้แต่ก็ถูกขโมยโดยกัปตันเจสัน (Jason) และลูกเรืออาร์โก (Argo Navis) ในที่สุด


กลุ่มดาววัว (Taurus)



กลุ่มดาววัว(ราศีพฤษก)

ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
        ในอดีตเมื่อกว่า 2,000ปีมาแล้ว ขณะดวงอาทิตย์อยู่ในกลุ่มดาววัวจะเป็นเดือนพฤษภาคม ปัจจุบันดวงอาทิตย์อยู่ในเขต กลุ่มดาววัวระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม ถึง 21 มิถุนายน กลุ่มดาววัวจึงเป็นกลุ่มดาวจักราศีที่ดวงอาทิตย์ใช้เวลาผ่าน นานเป็นที่ 2 รองจากกลุ่มดาวหญิงพรหมจารี เป็นกลุ่มดาวจักราศีที่หาได้ไม่ยากเพราะมีกระจุกดาวลูกไก่ ซึ่งเรารู้จักกัน ดีเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มดาววัว นอกจากนี้ยังมีดาวฤกษ์สีแดงสว่างสุกใสติดตามดาวลูกไก่ตลอดเวลา ดาวสีแดงดวงนี้อยู่ ตรงตาวัว จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ดาวตาวัว ชื่อเฉพาะเป็นภาษาอาหรับว่า อัลดิบะแรน (Aldebaran) แปลว่าผู้ติดตาม ดาวตาวัวเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาววัว ตรงกน้าวัวมีดาวเรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ไทยเรา เรียกว่า ดาวธง มีดาวฤกษ์ทั้งหมดอย่างน้อย 9 ดวง เรียงเป็นรูปหน้าวัว เขาวัว และโหนกวัวดังนี้ มีดาว 5 ดวงอยู่ตรงหน้าวัว 2 ดวงอยู่ที่ปลายเขา ดวงหนึ่งอยู่ที่โหนก (ดาวลูกไก่ ซึ่งมีหลายดวง แต่นับดวงสว่างดวงเดียว คือ เอตาวัว) และดวงหนึ่งอยู่ที่หน้าอกของวัว ดาวลูกไก่อยู่ห่างดาวตาวัวประมาณ 2 กำมือ เวลาขึ้นลำตัวและโหนกขึ้นมาก่อน ตามด้วยหน้าวัวและเขาวัวในที่สุด เมื่อขึ้นไปสูงสุดจะอยู่ทางเหนือของจุดเหนือศีรษะเล็กน้อย รูปวัวอยู่ในลักษณะหงายท้อง หลังหันไปทางทิศเหนือ ท้องหันไปทางทิศใต้ หันหัวไปทาง ทิศตะวันออก ขณะลับขอบฟ้าโหนกวัลับขอบฟ้าไปก่อน ตามด้วยหน้าวัวและเขาวัวตาม ลำดับ รวมเวลาที่กลุ่มดาววัวอยู่บนท้องฟ้าทั้งกลุ่มประมาณ 10 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้านับเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของกลุ่มเช่น โหนกวัวหรือตาวัวจะอยู่บนท้องฟ้านานกว่า 12 ชั่วโมง

เวลาที่เห็น ในเดือนพฤษภาคมจะมองไม่เห็น

นิทานดวงดาว
        วันหนึ่งนางยูโรป้า เจ้าหญิงแห่งเมืองฟินิเชีย (Phoenician) ผู้มีความงามเป็นหนักหนา ออกไปเดินเล่นที่ทุ่งหญ้า ก็ได้เห็นวัวสีขาวรูปร่างกำยำงดงามเป็นที่สุดตัวหนึ่ง เจ้าวัวตัวนี้เชื่องสนิทและยังมีท่าทีเป็นมิตรผิดกับท่าทีที่น่าเกรงขามของมันนางก็เลยตายใจขึ้นเข้าไปลูบไล้และในที่สุดก็ขึ้นขี่หลังวัวตัวนั้นเมื่อนางขึ้นขี่หลังวัวตัวนั้นก็ออกวิ่งผ่านน้ำข้ามทะเลไม่ยอมให้นางลงจากหลังจนไปถึงเกาะครีต (Crete) ซึ่งจริง ๆ แล้ว วัวตัวนี้ก็คือซีอุสแปลงกายมา ด้วยว่าซีอุสเกิดหลงรักนางยูโรป้าจึงแปลงกายเป็นวัวมาลักพาตัวนาง และหลังจากนั้น นางยูโรป้าก็คลอดบุตรสามคนซึ่งได้แก่ มินอส (Minos) ลาดามันติส (Rhadamanthys) และซาร์เพดอน(Sarpedon)ซึ่งกลุ่มดาวราศีพฤษกก็คือรูปร่างของซีอุสเมื่อยามแปลงกายเป็นวัวที่ซีอุสทำไว้เป็นที่ระลึก และชื่อของทวีปยุโรป ก็ว่ากันว่าเอามาจากชื่อของนางยูโรป้านี่เอง



กลุ่มดาวคนคู่ (Gemini)


กลุ่มดาวคนคู่(ราศีเมถุน)

ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
        จุดที่ขึ้นคือประมาณกึ่งกลางของจุดทิศตะวันออกกับทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะขึ้นคนคู่เอาเท้าขึ้นก่อน โดยเท้าเอียงไปทาง ใต้เล็กน้อย ลำตัวจึงไม่ตั้งตรงกับขอบฟ้า ทั้งคาสเตอร์และพอลลักซ์เอาหัวลง คาสเตอร์อยู่ทางซ้ายและพอลลักซ์อยู่ทางขวา เมื่อคาสเตอร์ขึ้นไปสูงสุด เราจะต้องหันหน้าไปทางทิศเหนือ แล้วแหงนหน้าขึ้นเป็นมุมเงยประมาณ 70 องศาจึงจะเห็น ในขณะ ที่พอลลักซ์อยู่เยื้องไปทางขวามือเป็นมุมเงย 75 องศา ณ ตำแหน่งนี้ คนคู่อยู่ในลักษณะนอนเกือบขนานกับขอบฟ้า โดยมีเท้าหันไปทาง ทิศตะวันตก คาสเตอร์อยู่ทาทิศเหนือของพอลลักซ์ เมื่อขึ้นไปสูงสุดแล้วกลุ่มดาวคนคู่จะคล้อยต่ำลงไปทางทิศตะวันตก โดยค่อย ๆ เอาเท้าลง ในที่สุดจะตกดินหรือลับขอบฟ้าตรงจุด กึ่งกลางระหว่างทิศตะวันตกกับทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คาสเตอร์จะยืนเกือบตัวตรงกับขอบฟ้าและอยู่ทางขวามือของพอลลักซ์ เมื่อใกล้ ขอบฟ้าทางตะวันตกมักจะมองไม่เห็นดาวดวงอื่น นอกจากคาสเตอร์และพอลลักซ์ เพราะดาวอื่น ๆ สว่างน้อย ขณะนั้นพอลลักซ์จะอยู่สูง เป็นมุมเงย ประมาณ 20 องศา

เวลาที่เห็น ในช่วงต้นเดือนมกราคมกลุ่มดาวคนคู่จะขึ้นเวลาหัวค่ำและตกตอนรุ่งเช้า ดังนั้นจึงเป็นระยะเวลาที่จะมีโอกาสเห็นดาวกลุ่มนี้ ได้นานกว่าเดือนอื่น ๆ แต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนกรกฎาคมจะมองไม่เห็นกลุ่มดาวคนคู่ เพราะขึ้นและตกพร้อม ๆ กับ ดวงอาทิตย์

นิทานดวงดาว
        ซีอุสเกิดไปหลงรักนางเรดา มเหสีของพระราชาไทนดาริอุส (Tyndareus) แห่งเมืองสปาร์ต้า ซีอุสจึงวางแผนกับเฮอร์เมส ให้เฮอร์เมสแปลงกายเป็นอินทรีให้ไล่ตามตัวเองซึ่งแปลงกายเป็นหงส์ขาว (ซึ่งว่ากันว่ากลุ่มดาวหงส์หรือ Cygnus ก็คือรูปร่างของซีอุสที่กลายเป็นหงส์ขาวนี่เอง) เมื่อนางเรดาเห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยโอบกอดหงส์ขาวไว้แล้วไล่อินทรีไปแล้วไม่นานนักนางเรดาก็คลอกลูกออกมาเป็นไข่สองใบ และในไข่แต่ละใบ ก็มีฝาแฝดชายหญิงอย่างละคู่อยู่ ได้แก่ คาสเตอร์กับคลิเทมเนสตร้า(Clytemnestra)ในไข่ใบแรก และ พอลลักซ์กับเฮเลน (Helen) ในไข่ใบที่สอง (ซึ่งนางเฮเลนที่ว่านี้ ก็คือนางเฮเลนที่เป็นต้นกำเนิดของการล่มสลายของเมืองทรอยนั่นเอง) คาสเตอร์กับพอลลักซ์เป็นพี่น้องที่รักกันมาก แต่ทว่าคาสเตอร์นั้นเป็นลูกของไทนดาริอุสที่เป็นมนุษย์จึงไม่ได้เป็นอมตะ ผิดกับพอลลักซ์ที่เป็นบุตรของซีอุสจึงไม่แก่ไม่ตาย คาสเตอร์และพอลลักซ์ ซึ่งทั้งสองก็เป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงมาก โดยได้เคยรวมเรืออาร์โก้ไปกับเจสันเพื่อเอาขนแกะทองคำด้วย เรื่องเล่าเกี่ยวกับการตายของคาสเตอร์มีอยู่ว่า ทั้งสองได้ไปร่วมงานแต่งงานระหว่างคู่ฝาแฝดชายนามว่าอิดั(Idas)และไลนเซอุส(Lynceus) กับฝาแฝดหญิงคือนางฟีเบ (Phoebe) และนางฮิลาเอย์ร่า (Hilaeira) ไม่รู้ว่าเมาอะไร ทำให้คาสเตอร์กับพลอลักซ์กลับไปฉุดเอาเจ้าสาวทั้งสองมา ทำให้เกิดการต่อสู้กับอิดัสและไลนเซอุส ส่งผลให้คาสเตอร์ตาย (อิดัสกับไลนเซอุสก็ตายด้วย) พอลลักซ์เศร้าเสียใจมาก แต่ด้วยว่าตนเป็นอมตะไม่สามารถตายร่วมกับคาสเตอร์ได้ จึงร้องขอกับเหล่าเทพว่า ให้ตนสามารถแบ่งความเป็นอมตะแก่คาสเตอร์ หลังจากนั้นทั้งสองจึงอยู่บนสวรรค์ 1 วันและจะไปอยู่ในแดนแห่งความตาย 1 วัน สลับกันไป ซีอุสเห็นแก่มิตรภาพของทั้งสองจึงทำให้เกิดกลุ่มดาวราศีเมถุนขึ้นมา




กลุ่มดาวปู (Cancer)


กลุ่มดาวปู(ราศีกรกฎ)

ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
        ขณะขึ้นกลุ่มดาวปูจะขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือ ประมาณ 20 องศา ในลักษณะที่เอาก้ามปูด้านขวา (ดวงที่5) และขาปู (ดวงที่ 2) ขึ้นก่อน ก้ามปูด้านซ้าย (ดวงที่ 1) ขึ้นทีหลัง เมื่อขึ้นไปสูงสุดจะอยู่ตรงศีรษะ ขาปูชี้ไปทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ ก้ามปูด้านซ้ายชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และก้ามปูด้านขวาชี้ไปทางทิศเหนือ ขณะตกลับขอบฟ้า จะตก ณ ทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือ ประมาณ 20 องศา ปูเอาขาลงก่อน ปูจึงถอยหลัง ลง ในทำนองเดียวกันก็ถอยหลังขึ้น ขณะขึ้นทางทิศตะวันออกด้วย

เวลาที่เห็น กลุ่มดาวปูขึ้นเวลาหัวค่ำในต้นเดือนกุมภาพันธ์ จึงเป็นกลุ่มดาวที่เห็นได้นานในเดือนกุมภาพันธ์มากกว่าเดือนอื่น ๆ ครึ่งหลัง ของเดือนกรกฎาคมและครึ่งแรกของ เดือนสิงหาคม จะมองไม่เห็นกลุ่มดาวปู เพราะตกลับขอบฟ้าเกือบพร้อมกับดวงอาทิตย์ เวลาขึ้นตก ในแต่ละเดือน ตลอดทั้งเวลาที่ขึ้นไปอยู่สูงสุด และเวลาที่เห็นได้ในเดือนต่าง ๆ

นิทานดวงดาว
        ในงานทั้ง 12ของเฮอร์คิวลิส มีอยู่งานหนึ่งคือไปกำจัดไฮดร้า(Hydra) ซึ่งเป็นงูยักษ์มี 9 หัว ส่วนเจ้าปูที่ว่านี่แม้แต่ชื่อก็หาไม่เจอและไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย แต่ก็ถูกเฮอร์คิวลิสที่กำลังต่อสู้อยู่เหยียบโดยไม่รู้ตัว แล้วเทพีเฮร่าซึ่งไม่ชอบเฮอร์คิวลิสอยู่แล้วก็เลยทำให้กลายเป็นกลุ่มดาวไปพร้อมไฮดร้าด้วยแต่อีกทีบอกว่า เจ้าปูยักษ์ตัวนี้เป็นเพื่อนกับไฮดร้า เมื่อครั้งไฮดร้าสู้กับเฮอร์คิวลิสก็พยายามช่วยโดยหนีบขาเฮอร์คิวลิสไว้ แต่ก็ถูกเฮอร์คิวลิสเหยียบตายจนได้ เทพีเฮร่าเห็นก็เกิดประทับใจในความรักเพื่อน จึงทำให้เจ้าปูยักษ์ขึ้นไปเป็นหมู่ดาวบนฟ้า




กลุ่มดาวสิงโต (Leo)


กลุ่มดาวสิงโต(ราศีสิงห์)

ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
        กลุ่มดาวสิงห์อยู่ในซีกฟ้าด้านเหนือ ประกอบด้วยดาวฤกษ์ที่สว่างมาก 1 ดวง คือ ดาวหัวใจสิงห์ (เรกิวลุส) และ ดาวที่สว่างรองลงมาอีกอย่างน้อย 8 ดวง เรียงเป็นรูปสิงโตซึ่งกำลังหมอบอยู่ ดาวหัวใจสิงห์และดาวอีก 5 ดวง คือ ดวงที่5 ถึงดวงที่ 9 เรียงกันคล้ายรูปเคียวเกี่ยวข้าวหรือเครื่องหมายคำถามเขียนกลับบริเวณหัวสิงโต ดาวดวงที่ 2, 3, 4 ประกอบ ขึ้นเป็นด้านท้ายของสิงโต โดยมีดวงที่ 2 อยู่ตนงหาวสิงโต จึงมีชื่อเรียกว่า ดาวหางสิงห์ (ดาวเดเนบโบลา) โคเปอร์นิคัสเรียกดาวหัวใจสิงห์ว่า เป็นผู้บัญชาการธุรกิจสวรรค์ คนโบราณเชื่อว่า ดาวหัวใจสิงห์เป็นดาว สำหรับพระราชา และเป็นผู้นำของดาวระดับราชาทั้ง 4 ได้แก่ ดาวหัวใจสิงห์ ดาวอัลดิบะแรน ดาวปาริชาติ และดาว โฟมาลออท ดาวเหล่านี้อยู่ห่างเป็นระยะเกือบเท่า ๆ กัน จึงเป็นดาวที่แบ่งทรงกลมท้องฟ้าออกเป็น 4 ส่วน ทำให้ท้องฟ้า แต่ละขณะมีดาวราชาอยู่อย่างน้อย 1 คู่ ดาวหัวใจสิงห์อยู่เกือบบนเส้นสุริยวิถี จึงมีโอกาสถูกดวงจันทร์และดาวเคราะห์บังอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะดวงจันทร์จะผ่านใกล้หรือบังทุก ๆ เดือนดาวแกมมา-สิงห์ แม้จะมีชื่อว่า ดาวหน้าผากสิงห์ แต่แท้ที่จริงดวงดาวนี้อยู่บริเวณคอของสิงโต เป็นดาวคู่ที่เหมาะสำหรับส่องดูในกล้องโทรทรรศน์ อยู่ห่างกัน 4.3 ฟิลิบดา อันดับความสว่าง 2.6 และ 3.8 เคลื่อนรอบซึ่งกันและกัยใช้เวลา 618 ปี กลุ่มดาวสิงห์อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้า ตำแหน่งที่ขึ้นจึงอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือ และตกทางทิศตะวันตก เฉียงไปทางเหนือ ขณะที่อยู่สูงสุดจะอยู่เหนือศีรษะ ตำแหน่งต่าง ๆ ของกลุ่มดาวสิงห์จึงใช้บอกทิศได้ ขณะขึ้นส่วนหัวของสิงห์จะขึ้นก่อน ส่วนหางตามขึ้นมาหลังจากที่ส่วนหัวขึ้นแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ลักษณะสิงห์หมอบเอา หางแตะขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือในขณะที่หัวชูขึ้นสูงเป็นมุมเงยเกือบ 30 องศา ถ้าจะดูกลุ่มดาวสิงห์ขณะขึ้นต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเอียงไปทางซ้ายเล็กน้อย จะเห็นดาวหัวใจสิงห์สว่างสุกใสอยู่สูงพ้น ขอบฟ้าทิศตะวันออกเป็นมุมเงยประมาณ 25 องศา หางอยู่ใกล้ขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกเฮียงไปทางเหนือเล็กน้อย หลังสิงห์หันไปทาง ทิศเหนือ (ซ้ายมือ) ในขณะที่ท้องสิงห์หันไปทางทิศใต้ (ขวามือ) เมื่ออยู่สูงสุดกลุ่มดาวสิงห์จะอยู่ตรงศีรษะ หัวสิงห์หันไปทางทิศตะวันตก หาวหันไปทางทิศตะวันออก ท้องหันไปทางทิศใต้ และ หลังหันไปทางทิศเหนือ เมื่อกำลังจะลับขอบฟ้าด้านตะวันตก หัวสิงห์จะสัมผัสขอบฟ้าตรงจุดทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือเล็กน้อย ในขณะที่ดาวหางสิงห์ อยู่ขึ้นไปสูงเป็นมุมเงยเกือบ 30 องศา

เวลาที่เห็น เดือนที่มองไม่เห็นหรือเห็นกลุ่มดาวสิงห์น้อยมากคือ เดือนสิงหาคมและกันยายน ทั้งนี้เพราะดวงอาทิตย์ปรากฏอยู่ในหรือใกล้เคียงกับกลุ่มดาวสิงห์มาก ส่วนเดือนที่ มองเห็นนานเกือบตลอดทั้งคืนคือ เดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม โดยเห็นตั้งแต่ขึ้นทางทิศตะวันออกในเวลาหัวค่ำถึงตกทางทิศตะวันตกในเวลารุ่งเช้า ช่วงเวลาตั้งแต่ขึ้น ถึงตกยาวประมาณ 10 ชั้วโมงครึ่ง

นิทานดวงดาว
        ในสมัยก่อนชาวกรีกโบราณเคารพบูชาดวงจันทร์ซึ่งถือว่าเป็นเทพธิดาชื่อ เซลินี (Selene) นอกเหนือจาก เทพเจ้าที่มีความสำคัญมากกว่า เช่นเทพซูส และเทพอพอลโล ชาวกรีกต้องเซ่นไหว้เทพธิดาและเทพเจ้าเหล่า นี้เป็น ประจำทุกปี แต่บังเอิญมีอยู่ปีหนึ่งชาวเมืองเนเมีย (Nemea)ลืมเซ่นไหว้เทพธิดาเซลินีทำให้เธอโกรธจัดถึงกับส่งสิงโตจากฟ้าลงมารังควานชาวนาชาวไร่ในเมืองเนเมีย ถ้าเป็นสิงโตธรรมดาก็ไม่มี ปัญหาอะไร แต่มันเป็นสิงโตที่ดุร้าย หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้า มันไล่กัดกิน!และมนุษย์ที่ขวางหน้า ผู้คนเดือดร้อนไปทั่วในขณะนั้นราชายูริสธีอัส (Eurystheus) มีผู้รับใช้ที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง คือ เฮอร์คิวลิส (Hercules) ราชายูริสธีอัสจึงทรงพระ บัญชาให้เฮอร์คิวลิสไปฆ่าสิงโตดุร้ายนั้นเสียเฮอร์คิวลิสเป็นผู้ชายร่างใหญ่ อดทนและแข็งแรงที่สุดในโลก เขามี อาวุธหลายอย่างเช่น ดาบ มีด ธนู แต่ที่ชอบ มากคือ กระบองยักษ์ที่ ทำด้วยไม้ เฮอร์คิวลิสเข้าต่อสู้พันตูกับสิงโตดุร้ายอย่างห้าวหาญ แต่ทว่าอาวุธ เช่น ธนูและดาบไม่สามารถทำอันตรายกับ ผิวหนังของสิงโตตัวนั้น ได้เลย แม้จะใช้กระบองยักษ์ฟาดลงบนหัวของสิงโต ก็ยังไม่สามารถ ทำอะไรมันได้เช่นกัน ในที่สุดเฮอร์คิวลิสคิดได้ว่าคงไม่มีอาวุธอันใดที่จะใช้ฆ่าสิงโตตัวนี้ได้ เขาจึงย่อตัวลงต่ำเข้ากอดรัดสิงโต ใส่ “เฮดล็อก” สิงโต ดิ้นไม่หลุดถูกรัดคอจนตาย หลังจากที่เฮอร์คิวลิส ล้มสิงโตดุร้ายตัวนั้นได้ เฮอร์คิวลิสได้ถลกหนัง หัวและขาหน้าทั้งสองของสิงโตมาทำเป็น เครื่องแต่งตัว โดยห่ม หนังสวมหัวเป็นหมวกกันชน และผูกขาหน้าไว้เหนือหน้าอก เขาจึง ไม่เพียงมีเกราะคุ้มกันอาวุธ แต่ยังดูดุร้ายน่ากลัวกว่าเมื่อก่อน และถ้าถือกระบองไม้ยักษ์ด้วยแล้วเฮอร์คิวลิสก็เหมือนมนุษย์อยู่ในถ้ำเทพธิดาเซลินีได้ส่งสิงโตกลับขึ้นไปอยู่บนฟ้าดังเดิมอยู่กลางฟ้าเป็น กลุ่มดาวจักรราศี โดยเซลินี (ดวงจันทร์) ผ่านทุก ๆ เดือน และสิงโตวิ่งหนีเฮอร์คิวลิสอยู่ตลอดเวลา โดยสิงโตจะอยู่สูงสุดบนฟ้า ในขณะ ที่เฮอร์คิวลิสขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเฮอร์คิวลิสขึ้นไปสูงสุดสิงโตจะลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก เฮอร์คิวลิสจึงไม่มีทางไล่สิงโตทัน




กลุ่มดาวหญิงพรหมจารีย์ (Virgo)


กลุ่มดาวหญิงสาว(ราศีกันย์)

ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
        กลุ่มดาวผู้หญิงสาวขึ้นตรงจุดทางทิศตะวันออกพอดีและตกตรงทิศตะวันตกพอดี จึงเป็นกลุ่มดาวเด่นที่เห็นได้ ชัดเจน หญิงพรหมจารีเอาศีรษะขึ้นมาก่อน เมื่อขึ้นมาเต็มตัวดาวรวงข้าวจะอยู่กึ่งกลางระหว่างทิศตะวันออกกับทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ และอยู่สูงเป็นมุมเงยเกือบ 20 องศา ขณะนี้หญิงสาวจึงยืนอยู่อย่างสวยงาม หันหน้ามาทางผู้ดู มิอซ้าย ถือรวงข้าวพอดี ส่วนมือขวาถือปากกาขนนก ในขณะเดียวกันจะเห็นดาวจระเข้อยู่สูงระหว่าง 20 องศาถึง 45 องศา ทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือในลักษณะเอาหัวขึ้นเอาหางลง เส้นที่ต่อตามแนวโค้งจากหางจระเข้ไปทางทิศตะวันออกจะผ่าน ดาวดวงแก้ว และดาวรวงข้าวโดยระยะห่างจากดาวดวงสุดท้ายในหาวจระเข้ถึงดาวดวงแก้วจะเท่ากับระยะห่างจากดาว รวงแก้วถึงดาวรวงข้าว การสังเกตเช่นนี้จะช่วยให้หาดาวรวงข้าวและกลุ่มดาวผู้หญิงสาวได้ง่ายและมั่นใจยิ่งขึ้น เมื่อขึ้นมาครบทุกดวง ดาวรวงข้าวจะอยู่กึ่งกลางระหว่างทิศตะวันออกกับทิศตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะอยู่สูงเป็น มุมเงยประมาณ 20 องศาในขณะที่ศีรษะของผู้หญิงสาวอยู่สูงเป็นมุมเงยประมาณ 45 องศา ทางทิศตะวันออก และเท้าอยู่ ทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้เล็กน้อยใกล้ขอบฟ้า ขณะอยู่สูงสุดบนฟ้า กลุ่มดาวผู้หญิงสาวจะอยู่ทางทิศใต้ ศีรษะของเธอที่อยู่ถัดจากดาวหางสิงห์จะผ่านเกือบเหนือศีรษะ เมื่อดาวรวงข้าวอยู่สูงเป็นมุมเงย 60 องศาทาง ทิศใต้ ศีรษะของผู้หญิงสาวจะอยู่ทางทิศตะวันตกโดยอยู่สุงเป็นมุมเงย 70 องศา และเมื่อตกดินศีรษะของเธอจะถึงขอบฟ้าก่อนทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือเล็กน้อย ใน ขณะที่ดาวรวงข้าวอยู่สูงเป็นมุมเงย 20 องศา ทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้ ส่วนปลายเท้าของเธอชูขึ้นตรงข้ามกับลักษณะของหมู่ดาวคนคู่ ซึ่งยืนอย่างสง่าทางทิศตะวันตก เฉียงไปทางเหนือ ขณะตกลับขอบฟ้า

เวลาที่เห็น กลุ่มดาวผู้หญิงสาวเป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่เกี่ยวข้องกับราศีกันย์และเดือนกันยายน โดยดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวผู้หญิงสาว ระหว่างวันที่ 17 กันยายนถึง 1 พฤศจิกายน ดังนั้นช่วงระยะเวลาดังกล่าว จึงไม่ใช่ดอกาสสำหรับดูกลุ่มดาวผู้หญิงสาว

นิทานดวงดาว
        หญิงสาว พรหมจารีคือ เทพธิดาแอสเตรีย ซึ่งเป็นธิดา ของซูสเทพบดีและเทมิส เธอลงมาจากสวรรค์พร้อมน้องสาวชื่อว่า พูดิซิเตรีย ทั้งคู่ถือ พรหมจรรย์ ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ แอสเตรียเป็นเทพธิดาแห่งความยุติธรรม ไม่เคยทำให้ผู้ใดหรือสัตว์โลกใดๆ เลือดตกยางออก เธอปรารถนาที่จะให้โลกร่มเย็น ไม่เบียดเบียนกันและกัน แต่เหตุการณ์ กลับเป็นตรงกันข้าม มนุษย์รบราฆ่าฟันกัน ขโมยข้าวของกันและกัน คนจนถูกกดขี่ข่มเหง เธอทนไม่ได้จึงหนีเข้าไปอยู่ในป่าเขา มีผู้คน จำนวนหนึ่งติดตามเธอไป ส่วนเทพธิดาผู้ เป็นน้องสาวทนไม่ไหวจึง ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ แอสเตรียเชื่อว่าความยุติธรรมจะยังคงมีอยู่ในโลกแต่ในที่สุดเธอก็จำเป็นต้องหนีไปอยู่ บนสวรรค์ เมื่อมีอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ความยุติธรรมหายไปจากโลกเหลือแต่ความผิด หวัง ต่าง ๆ แอสเตรียขึ้นไปอยู่บนฟ้าในฐานะ หญิงพรหมจารี ซึ่งเธอ จะปรากฏให้เห็นเฉพาะคนที่รักและใฝ่หาสันติภาพกับความยุติธรรมเท่านั้นเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ เธอจึงบด รวงข้าวแล้วหว่านเมล็ดข้าวไปรอบฟ้ากลายเป็นทางช้างเผือก ซึ่งมีแต่ความสวยงามร่มเย็น และสันติสุข




กลุ่มดาวคันชั่ง (Libra)



กลุ่มดาวคันชั่ง(ราศีตุลย์)

ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
        กลุ่มดาวคันชั่งอยู่ห่างไปทางใต้ของเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้าประมาณ 25 องศา ดังนั้นจึงขึ้น ณ จุด ทิศตะวันออก เฉียงไปทางใต้ 25 องศา เมื่อขึ้นไปสูงสุดจะอยู่ทางทิศใต้โดยอยู่สูงจากขอบฟ้าทิศใต้ 60 องศา ส่วนจุดลับขอบฟ้าจะอยู่ ทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางใต้ 25 องศา

เวลาที่เห็น กลุ่มดาวคันชั่งไม่ใช่กลุ่มดาวเด่นอย่างเช่นกลุ่มดาวแมงป่อง ทั้งนี้เพราะดาวที่ประกอบขึ้นเป็นรูปตันชั่งสว่างไม่ มากนัก ในเมืองใหญ่ที่มีฝุ่นควัน และแสงไฟรบกวนจะมองไม่เห็นเลย จำเป็นต้องอาศัยกลุ่มดาวแมงป่องเป็นเครื่อง ช่วยค้นหาเช่น เมื่อกลุ่มดาวแมงป่องขึ้นเต็มตัวเป็นรูปแมงป่องทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้แล้ว กลุ่มดาวคันชั่งจะ อยู่สูงเป็นมุมเงยเกือบ 60 องศา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ อีกวิธีหนึ่งคือ อาศัยดาวรวงข้าว เช่น เมื่อดาวรวงข้าวอยู่สูง 45 องศา กลุ่มดาวคันชั่งจะอยู่สูง 15 องศา เป็นต้น เดือนที่เห็นกลุ่มดาวคันชั่งนานตลอดคืนคือเดือนพฤษภาคม โดยอยู่ บนท้องฟ้าประเทศไทยประมาณ 9 ชั่วโมงครึ่ง

นิทานดวงดาว
        ชื่อของกลุ่มดาวจักรราศีที่แตกต่างจากชื่อของกลุ่มดาวจักรราศีอื่น ๆ คือ กลุ่มดาวคันชั่ง เพราะเครื่องชั่งเป็นของใช้ไม่มีชีวิต ในขณะที่ชื่อของกลุ่มดาวจักรราศีกลุ่มอื่นๆเป็นสิ่งมีชีวิต กลุ่มดาวคันชั่งเป็นกลุ่มดาวที่ไม่เด่น และไม่พบวัตถุฝ้าๆในกลุ่มดาวนี้ คันชั่งเป็นเครื่องมือที่เทพธิดาแห่งความยุติธรรม เทพีแอสเตรีย (ในราศีกันย์) ใช้เพื่อวัดความเที่ยงธรรมในโลกมนุษย์ หรือ ราศีตุลย์ ชื่อที่น่าสนใจเป็นภาษาอาหรับว่าซูเบนเอสซา มาลี (Zubeneschamali) แปลว่า ก้ามแมงป่องที่อยู่ทางทิศ เหนือ สว่างรองลงมาก็คือ ดวงที่ 2 มีชื่อว่า ซูเบนเอลเกนูบิ(Zubenelgenubi) แปลว่า ก้ามแมงป่องที่อยู่ทางทิศใต้ในตำนากรีก กล่าวไว้ว่า คันชั่งเป็นเครื่องมือที่เทพธิดาแห่งความยุติธรรมใช้ เพื่อวัดความเที่ยงธรรมในโลกมนุษย์




กลุ่มดาวแมงป่อง (Scorpius)


กลุ่มดาวแมงป่อง(ราศีพิจิก)

ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
        ถ้าจะวัดความยาวของกลุ่มดาวแมงป่องตั้งแต่หัวถึงหาง จะยาวประมาณ 35 องศา รูปแมงป่องบนฟ้าจึงเป็นรูป ใหญ่ เวลาขึ้นจะเห็นหัวขึ้นก่อนทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้ประมาณ 20 องศา กลางตัวขึ้นเฉียงไปทางใต้มากกว่านี้ ดาวดวง ที่ 9 ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้พร้อมส่วนหางทั้งหมด ขณะนั้นดาวที่เรียงเป็นรูปแมงป่องจะอยู่ทางทิศ ตะวันออกเฉียงใต้ เอาหัวขึ้นหางลงตั้งฉากกับขอบฟ้า เมื่อกลุ่มดาวแมงป่องเคลื่อนสูงขึ้นไปอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงไป ทางใต้ 67.5 องศา (ทิศกึ่งกลางระหว่างทิศตะวันออกเฉียงใต้กับทิศใต้) หัวแมงป่องจะอยู่สูงเป็นมุมเงยประมาณ 50 องศา ในขณะที่ปลายร่าง ของหางอยู่สูงเป็นมุมเงยประมาณ 15 องศา เมื่อเวลาผ่านไปหัวแมงป่องจะขึ้นไปสูงสุดเหนือ ทิศใต้ประมาณ 55 องศาก่อน ตามด้วยกลางลำตัว ซึ่งจะอยู่วูงสุดประมาณ 35 องศา ส่วนหางจะผ่านเมริเดียนหลังสุดโดย อยู่สูงประมาณ 30 องศา รูปร่างของกลุ่มดาวแมงป่องขณะกลางตัวผ่านเมริเดียนจะเป็นดังนี้คือ หัวเอียงไปทางทิศ ตะวันตกอยู่ที่มุมเงย 45 องศา หางเอียงไปทางทิศตะวันออกเล็กน้อยอยู่ที่มุมเงย 30 องสา เมื่อกลางลำตัวแมงป่องไปอยู่ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ แมงป่องจะขนานกับขอบฟ้าอยู่สูงเป็นมุมเงย 15 องศา เมื่อถึงเวลาลับขอบฟ้าหัวจะตกก่อนทาง ทิศตะวันตกเฉียงไปทาง ใต้ประมาณ 20 องศา ส่วนหางจะตกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้หลังหัวประมาณ 1 ชั่วโมง ใน ประเทศไทยจะเห็นกลุ่มดาว แมงป่องชัดเจน เพราะรูปแมงป่องปรากฏอยู่เหนือขอบฟ้านานอย่างน้อย 7 ชั่วโมงครึ่ง และ เมื่ออยู่สูงสุดหัวแมงป่อง จะอยู่เหนือทิศใต้เกือบ 55 องศา แนวทางการขึ้นตกจะคงที่ตลอด เมื่อกลุ่มดาวแมงป่องขึ้นและปรากฏรูปครบทุกส่วนจะเห็นลำตัวตั้งฉากกับขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ โดยกลางลำตัวจะอยู่สูง เป็นมุมเงย 15 องศา ในกรณีที่เห็นดาวปาริชาตเด่นอยู่ดวงเดียวก็อาจอาศัยดาวปาริชาตหาทิศได้เช่น เมื่อดาวปาริชาตอยู่สูงเป็นมุมเงย 45 องศา ดาวปาริชาตจะอยู่ทางทิศใต้ เป็นต้น เมื่อดาวปาริชาตอยู่สูงเป็นมุมเงย 15 องศา และตัวแมงป่องขนานกับขอบฟ้ากลางตัวแมงป่องจะอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ดังนั้น เมื่อรู้จักดาวแมงป่องและดาวปาริชาตดีแล้ว จึงใช้หาทิศได้

เวลาที่เห็น เดือนที่มองไม่เห็นกลุ่มดาวแมงป่อง คือเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม เพราะขึ้นและตกพร้อม ๆ กับดวงอาทิตย์ ส่วนเดือน อื่น ๆ จะเห็นยาวนานไม่เท่ากัน

นิทานดวงดาว
        นายพรานชื่อว่าโอริออน (Orion) ออกตัวว่าตนเป็นผู้ที่เก่งกาจกว่าใคร จนทำให้เหล่าเทพเกิดไม่พอใจ โดยเฉพาะเทพีไกอา (Gaia) รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงเรียกแมงป่องตัวหนึ่งมา ให้ไปจัดการกับโอริออนเสีย แมงป่องจึงใช้พิษที่หางของมันแทงโอริออนถึงแก่ความตาย จึงถูกยกให้กลายเป็นหมู่ดาวเพื่อเป็นเกียรติแก่มัน ส่วนโอริออนนั้นก็กลายเป็นหมู่ดาวโอริออนด้วยการร้องขอเทพีอัลเตมิส ว่ากันว่าแม้จะกลายเป็นดาวแล้วโอริออนก็ยังคงกลัวแมงป่องอยู่ โดยกลุ่มดาวโอริออนจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกลุ่มดาวแมงป่อง และจะไม่ปรากฏให้เห็นจนกว่ากลุ่มดาวราศีพิจิกจะลับขอบฟ้าไป




กลุ่มดาวคนถือธนู (Sagittarius)


กลุ่มดาวคนถือธนู(ราศีธนู)

ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
        บริเวณที่ดาวเรียงกันเป็นรูปกาต้มน้ำอยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้าไปทางใต้ 30 องศา ในลักษณะกาตะแคง หูกาอยู่ต่ำ พวยกาอยู่สูง และฝากาตะแคงซ้าย ฐานกาตะแคงไปทางใต้เล็กน้อย รูปกาตั้งตรงเมื่อขึ้นสูงเป็นมุมเงย 30 องศา ทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้ 55 องศา เมื่อขึ้นไปสูงสุดจะอยู่เหนือขอบฟ้า ทิศใต้เป็นมุมเงยประมาณ 45 องศา ขณะนั้นรูปกาต้มน้ำก็จะเอียงขวาไปทางพวยกาลงไปที่ละน้อยจนเมื่อไปอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ขณะอยู่สูงเป็นมุม เงย 15 องศา ฐานกาจะอยู่ในแนวตั้งฉากกับขอบฟ้า พวยกาอยู่ต่ำ หูกาอยู่สูง ฝากาตะแคงขวาหากมีน้ำอยู่ในกาน้ำจะต้อง ไหลออกมาจนหมด กลุ่มดาวรูปกาต้มน้ำจะตกดินทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางใต้ 30 องศา รวมเวลาที่อยู่บนฟ้านาน10 ชั่วโมง

เวลาที่เห็น ในเดือนธันวาคมและมกราคมจะมองไม่เห็นกลุ่มดาวคนยิงธนู เพราะขึ้นและตกเกือบพร้อม ๆ ดวงอาทิตย์ เดือนอื่น ๆ จะเห็นในเวลาต่างกัน

นิทานดวงดาว
        กลุ่มดาวราศีธนูนี้หมายถึงเซนทอส(Centaur) ที่เป็นครึ่งคนครึ่งม้านามว่าเครอน (Cheiron) เครอนเป็นเซนทอสที่ได้รับการสอนเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแพทย์ การดนตรี การพยากรณ์ และการล่าสัตว์จากเทพพอลโลและเทพีอัลเตมิส ด้วยชื่อเสียงของเขา จึงทำให้เหล่าพระราชาและผู้กล้ามากมายต่างนำลูกของตนให้มาเป็นศิษย์ของเครอน ซึ่งลูกศิษย์ของเครอนก็มีตั้งแต่เฮอร์คิวลิส คาสเตอร์ จนไปถึงเจสันว่ากันว่าเครอนเป็นลูกของพิไลร่า (Philyra) ซึ่งเกิดระหว่างโครนอส (Chronos) และนิมส์ โดยโครนอสแปลงร่างเป็นม้าเพื่อหลบสายตาของเทพีเรอาผู้เป็นภรรยาไปหานางนิมส์ จึงเกิดเป็นครึ่งคนครึ่งม้าออกมาการตายของเครอนนั้นว่ากันว่า เมื่อครั้งที่เฮอร์คิวลิสมีเรื่องกับพวกเซนทอส เกิดผิดพลาดยิงศรที่อาบยาพิษของไฮดร้าไปถูกเครอนเข้า พิษของไฮดร้านั้นร้ายแรงมากแม้แต่เครอนที่ได้เรียนวิชาแพทย์จากเทพก็ไม่สามารถรักษาได้ แต่ด้วยว่าเครอนเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย แต่ก็ไม่สามารถรักษาพิษได้จึงต้องทรมาณกับพิษของไฮดร้า เครอนทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงตัดสินใจยกความเป็นอมตะของตนให้แก่พรอเมเทอุส แล้วสิ้นใจลงกลายเป็นกลุ่มดาวราศีธนูไปยังว่ากันว่าปลายธนูของกลุ่มดาวราศีธนูนั้นเล็งไปที่หัวใจของกลุ่มดาวราศีแมงป่องอีกด้วย




กลุ่มดาวมังกร (Capriconus)


กลุ่มดาวแพะทะเล (ราศีมังกร)

ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
        จุดที่ขึ้นจากขอบฟ้าจะอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้ 20 องศา และตกทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางใต้ 20 องศา ขณะผ่านเส้นเมริเดียนหรือเมื่ออยู่สูงสุดจะอยู่ทางทิศใต้โดยอยู่สูงเป็นมุมเงย 55 องศา เส้นทางที่กลุ่มดาวมกรขึ้นตกจึงช่วยบอกทิศได้ ขณะขึ้นลำตัวมังกรจะตั้งฉากกับขอบฟ้า หัวอยู่สูงหางอยู่ต่ำ เมื่ออยู่เหนือขอบฟ้าทิศใต้ลำตัวมกรจะขนานกับขอบฟ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันตก หางหันไปทางทิศตะวันออก เมื่อตกดินหัวจะตกก่อนโดยลำตัวตั้งฉากกับขอบฟ้า รวมเวลาที่อยู่บนฟ้านานประมาณ 10 ชั่วโมง

เวลาที่เห็น ในเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์จะมองไม่เห็น เพราะขึ้นและตกพร้อมกับดวงอาทิตย์

นิทานดวงดาว
        กลุ่มดาวมังกรนี้เป็นกลุ่มดาวที่แทนเทพเจ้าแพน(Pan) หรือ Bacchus ตามประวัติมีว่า วันหนึ่งขณะที่เทพเจ้าแพนกำลังร่วมรับประทาน อาหารอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ร่วมกันกับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ หลายองค์ ทันใดนั้น เทพเจ้าแพนมองเห็นอสูรร้ายไต้ฝุ่น (Typhoon) เมื่อไต้ฝุ่นมาใกล้ เทพเจ้าองค์ อื่นๆได้เหาะหนี หรือแปลงกายหนีไป เทพเจ้าแพนได้กระโดดลงไปในแม่น้ำไนล์ แปลงร่างกายท่อนล่างเป็นปลา ท่อนบนที่อยู่เหนือผิวน้ำเป็นแพะ เพื่อจะได้ สังเกตดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ จอมเทพพฤหัสดี ได้นำเอารูปปลอมกายของ เทพเจ้าแพนไปไว้บนท้องฟ้าฉะนั้นชาวกรีกจึงเรียกดาวกลุ่มนี้ว่ากลุ่มดาวแพน




กลุ่มดาวคนถือหม้อน้ำ (Aquarius)


กลุ่มดาวคนถือหม้อน้ำ(ราศีกุมภ์)

ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้ประมาณ 20 องศา โดยหม้อน้ำอยู่ลักษณะตั้งฉาก กับขอบฟ้า เมื่อขึ้นไปสูงสุดหม้อน้ำจะขนานกับขอบฟ้าและอยู่สูงเหนือขอบฟ้าทิศใต้เป็นมุมเงยประมาณ 60 องศา ขณะตก ดินหม้อน้ำจะตั้งฉากกับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางใต้เล็กน้อย รวมเวลาที่อยู่บนท้องฟ้าประมาณ 10 ชั่วโมง

เวลาที่เห็น ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำจะขึ้นและตกพร้อม ๆ กับดวงอาทิตย์ จึงมองไม่เห็น ส่วนเดือนที่เห็นนานที่สุดคือ เดือนกันยายน เพราะจะขึ้นเวลาหัวค่ำและตกตอนก่อนรุ่งอรุณ

นิทานดวงดาว
        เมื่อครั้งที่สมัยเมืองทรอยยังคงอยู่ มีเจ้าชายนามว่ากานีเมเด (Ganymede) กานีเมเดเป็นเด็กหนุ่มรูปงามเสียจนว่า แม้แต่สาวงามก็ยังเทียบได้ยาก ซีอุสซึ่งแต่เดิมจะเป็นหญิงหรือชายก็ไม่เกี่ยงอยู่แล้วนั้น เมื่อได้เห็นก็เกิดถูกใจในความงามของกานีเมเดเข้า จึงแปลงกลายเป็นนกอินทรี (บ้างก็ว่าส่งอินทรีมา) มาลักพาตัวกานีเมเดที่กำลังต้อนฝูงแกะอยู่นั้นเองไปที่โอลิมปัส และให้ทำหน้าที่เป็นผู้รินเหล้าแก่เหล่าเทพ (ประมาณว่าโดนจับให้มาเป็นเด็กเชียร์เบียร์ แต่ว่ากันว่าไม่ใช่แค่รินเหล้า แต่ให้เป็นเด็กรับใช้ส่วนตัวของซีอุสด้วยซ้ำ) ซึ่งแต่เดิมเป็นหน้าที่ของเฮเบ (Hebe) เทพีแห่งความเยาว์วัยซึ่งเป็นธิดาของเทพีเฮร่าและซีอุส แต่ได้เกษียณตัวเองไปแต่งงานกับเฮอร์คิวลิสที่ถูกยกให้เป็นเทพบนสวรรค์ (ถือว่าเป็นการสงบศึกกันระหว่างเฮร่าและเฮอร์คิวลิส)แต่เมื่อเฮร่าเห็นซีอุสให้ความรักแก่กานีเมเดก็เกิดความหึงหวง ฝ่ายซีอุสก็กลัวเมียเป็นทุนเดิม จึงให้กานีเมเดไปเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนเฮร่ารังควาน และใกล้ ๆ กันจะมีกลุ่มดาวอินทรีซึ่งก็คือร่างของซีอุสที่กลายร่างเป็นอินทรีมาลักตัวกานีเมเดไปนั่นเอง แต่บางเรื่องเล่าก็ว่าเมื่อกานีเมเดถูกลักพาตัวไปแล้ว ฝ่ายบิดาและมารดาซึ่งเป็นเจ้าเมืองทรอยในตอนนั้นก็เศร้าเสียใจมาก ซีอุสจึงให้ผู้รับใช้นำของขวัญมาปลอบใจซึ่งได้แก่ม้าวิเศษที่วิ่งบนน้ำได้(บ้างก็ว่าเป็นเถาองุ่นทองคำ)และเล่าว่ากานีเมเดได้รับพรให้ไม่แก่ไม่ตายและยังได้รับเกียรติให้เป็นผู้รินเหล้าแก่เหล่าเทพอีกด้วย และซีอุสก็ได้ทำให้กานีเมเดกลายเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์ เพื่อให้พ่อแม่ของเขาสามารถมองเห็นเขาอยู่บนท้องฟ้าได้




กลุ่มดาวปลา (Pisces)


กลุ่มดาวปลา(ราศีมีน)

ลักษณะปรากฏและแนวทางขึ้นตก
        ระยะห่างจากดวงที่ 11 ถึงดวงที่ 15 ประมาณ 30 องศา และระยะห่างจากดวงที่ 11 ถึงดวงที่ 3 ประมาณ 45 องศา กลุ่มดาวปลาจึงเป็นกลุ่มดาวใหญ่กลุ่มหนึ่ง ดวงอาทิตย์ผ่านเข้าไปอยู่ในกลุ่มดาวปลาระหว่างวันที่ 13 มีนาคม ถึง 19 เมษายน และดวงอาทิตย์จะอยู่บนเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้าในวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวปลา ในวันนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงจุดทิศตะวันออกพอดี และตกตรงจุดทิศตะวันตกพอดี เรียกว่า วันอิควินอกซ์ (Equinox) หรือวิษุวัต ซึ่งวันนี้กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน จุดนี้เคยอยู่ในกลุ่มดาวแกะเมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว และเรียกว่า จุดแรกของกลุ่มดาวแกะ (The First Point of Aries) ปัจจุบันก็ยังเรียกชื่อเดียวกัน การขึ้นตกและการปรากฏบนท้องฟ้าของกลุ่มดาวปลาดูไม่ชัดเจน เพราะประกอบด้วยดาวฤกษ์ที่มีแสงริบหรี่ ต้องอาศัยกลุ่มดาวม้าปีกซึ่งมีดาว 4 ดวง เรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมใหญ่เป็นเครื่องช่วยค้นหา ขณะที่ด้านหนึ่งของสี่เหลี่ยมใหญ่อยู่ที่มุมเงย 30องศา และด้านตนงกันข้ามอยู่ที่มุมเงย 45 องศา ทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือนั้น กลุ่มดาวปลาจะขึ้นมาครบทั้ง 15 ดวง ทางทิศตะวันออก ปลาตัวซ้ายมือจะอยู่ด้านล่างหรือตะวันออกของสี่เหลี่ยมใหญ่เป็นมุมเงย 15 องศา ส่วนปลาตัวขวามือจะอยู่ขวามือหรือทางทิศใต้ของสี่เหลี่ยมใหญ่และอยู่สูงเป็นมุมเงยระหว่าง 30 ถึง 45 องศา เมื่อขึ้นไปสูงสุดปลาตัวขวามือจะผ่านเมริเดียนพร้อม ๆ กับสี่เหลี่ยมใหญ่ แต่ผ่านทางใต้ของจุดเหนือศีรษะ ในขณะที่สี่เหลี่ยมใหญ่ผ่านเกือบตรงศีรษะ ส่วนปลาตัวที่สองซึ่งเคยอยู่ซ้ายมือของสี่เหลี่ยมใหญ่ขณะขึ้นทางทิศตะวันออก บัดนี้จะปรากฏอยู่ทางทิศตะวันออกของสี่เหลี่ยมใหญ่ หรือถ้ายืนหันหน้าไปทางทิศเหนือ ปลาตัวนี้จะอยู่ขวามือของสี่เหลี่ยม ปลาตัวที่อยู่ทางทิศใต้ของสี่เหลี่ยมใหญ่จะลับขอบฟ้าก่อนและตกดินตนงจุดทิศตะวันตก ส่วนปลาตัวทิศตะวันออกจะตกทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือประมาณ 22.5 องศา กลุ่มดาวปลาทั้งกลุ่มปรากฏอยู่บนท้องฟ้าประเทศไทยนาน 8 ชั่วโมง

เวลาที่เห็น ในเดือนมีนาคมและเมษายนจะมองไม่เห็นกลุ่มดาวปลา เดือนที่เห็นนานที่สุด คือเดือนกันยายน ส่วนเดือนอื่น ๆ จะเห็นแตก

นิทานดวงดาว
        เมื่อครั้งที่เหล่าเทพจัดงานฉลองกันริมแม่น้ำไนล์แล้วสัตว์ประหลาดไทพ่อนโผล่ออกมานั้น อโฟรไดท์(Aphrodite) เทพีแห่งความงามและความรักได้แปลงกายตัวเองเป็นปลา และลูกชายของเธอ อีรอส (Eros) ก็แปลงเป็นปลาด้วยเช่นกันแล้วกระโดลงแม่น้ำไนล์ว่ายหนีไป โดยทั้งสองใช้เชือกหนึ่งเส้นผูกไว้ระหว่างกันเพื่อไม่ให้หลงทางแยกจากกัน ซึ่งรูปกลุ่มดาวราศีมีนก็คือรูปร่างของทั้งสองเมื่อครั้งกลายร่างเป็นปลานั้นเอง บางเรื่องเล่าว่าผู้ที่ทำให้กลายเป็นหมู่ดาวคือเทพีอาเธน่า เพื่อเป็นเครื่องหมายและระลึกถึงความโชคดีทีหนี้ภัยร้ายได้ Minerva จึงได้ นำปลา 2 ตัวนี้ไปไว้บนท้องฟ้า


**ความรู้เพิ่มเติม ราศีที่ 13 !!!**

กลุ่มดาวคนแบกงู (Ophiuchus)

กลุ่มดาวคนแบกงู

         เป็นกลุ่มดาวหนึ่งในรายชื่อ 48 กลุ่มดาวของทอเลมี เป็นกลุ่มดาวราศี จักร((กลุ่มดาวที่ดวงอาทิตย์ปรากฏเคลื่อนผ่าน) กลุ่มที่ 13 เนื่องจากมีขาข้างนึงแทรกไปในกึ่งกลางระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องและกลุ่มดาวคนยิงธนู กลุ่มดาวคนแบกงูแทนด้วยชายคนหนึ่งกำลังอุ้มงูไว้ ทำให้แยกกลุ่มดาวงูออกเป็นสองส่วน คือ หัวกับหาง (แต่นับเป็นกลุ่มดาวเดียวกัน) Ophiuchus หรือ กลุ่มดาวที่ถูกลืม 

        ตำนานกรีกมีอยู่ว่า นายแพทย์ออฟฟิอุคัส เป็นผู้ชำนาญการพิเศษเกี่ยวกับการแพทย์ เอาเป็นว่า... หายทุกโรคเมื่อได้เจอเขาคนนี้ วันหนึ่ง มีงูคาบใบไม้ของต้นไม้ที่มีฤทธิ์ทำให้คนที่กินผลของมันเข้าไป "เป็นอมตะ" เทพเจ้าเซอูส วิตกและกลัวว่ามนุษย์จะเป็นอมตะ จึงใช้สายฟ้าสังหารนายแพทย์คนนั้น แต่ออฟฟิอุคัสก็ไม่ตายเปล่า ท่านได้ไปเกิดเป็นดาว กลุ่มดาวคนแบกงู  

        กลุ่มดาวคนแบกงู มีความสูงประมาณ 40 องศา กว้าง 25 องศา จะขึ้นและตก ทางทิศตะวันออก - ตะวันตกพอดี เมื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดจะอยู่สูงเป็นมุมเงย 75 องศา โดยดาวดวงบนสุดของกลุ่มจะอยู่ที่จุด กึ่งกลางท้องฟ้าพอดี ดวงอาทิตย์โคจรผ่านกลุ่มดาวคนแบกงูนี้ในช่วงระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 17 ธันวาคม รวมใช้เวลา 18 วัน ซึ่งจะเห็นว่ามากกว่ากลุ่มดาวแมงป่อง ซึ่งดวงอาทิตย์ใช้เวลาแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นก็ผ่านไปได้ กลุ่มดาวคนแบกงูนั้นอยู่แทรกระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องกับกลุ่มดาวคนยิงธนู 

        หากนับกันจริงๆ โดยให้กลุ่มดาวแกะเป็นจักราศีแรกแล้ว กลุ่มดาวคนแบกงูก็จะเป็นจักราศีที่ 9 แทนที่กลุ่มดาวคนยิงธนูไป แต่เนื่องจากว่ากลุ่มดาวนี้อาจจะไม่คุ้นกัน ดังนั้นก็เลยจัดเป็นจักราศีที่ 13 ไป แต่ด้วยเหตุที่กลุ่มดาวทางโหราศาสตร์ มีเพียง 12 ราศี ในทาง ดาราศาสตร์นั้น เขามี 13 ราศีตามดาราจักร ที่ปรากฏบนท้องฟ้า เนื่องจากมันชอบแทรกเป็นอีแอบอยู่ ทางโหรก็เลยตัดออกซะ เพื่อไม่ให้ยุ่งยากต่อการคำนวณ และอีกประการน่าจะมีองศาไม่ต่างจาก ราศีที่ใช้คำนวณ ค่าของมันจึงอาจจะไม่ต่างกันมาก จึงไม่เป็นที่นิยมทางโหร ความหมายของกลุ่มดาวจักราศี (Zodiac constellations) นั้นก็คือ กลุ่มดาวที่อยู่บนเส้น Ecliptic ซึ่งเป็นแนวที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดาวเคราะห์ เคลื่อนผ่านนั่นเอง และมีอาณาเขตออกไปจากเส้น Ecliptic ข้างละ 8-9 องศา ซึ่งในความเป็นจริงนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ 12 กลุ่มดาวเท่านั้นแต่มีอยู่ถึง 13 กลุ่มด้วยกัน นั่นคือรวมกลุ่มดาวคนแบกงู (Ophiuchus) เข้าไปด้วย ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงกลุ่มดาวจักราศีแล้ว ในทางดาราศาสตร์ (Astronomy) และในทางโหราศาสตร์ (Astrology) จะมีไม่เท่ากัน โดยทางดาราศาสตร์จะมีอยู่ 13 กลุ่มดาว และในทางโหราศาสตร์จะมีอยู่แค่ 12 กลุ่ม



จัดทำโดย
นายชัยมงคล ใจวงค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 / 10 เลขที่ 1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น